วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

กลุ่มเครื่องลมไม้

บทที่ 2
กลุ่มเครื่องลมไม้

เครื่องดนตรีประเภทกลุ่มเครื่องลมไม้ในวงโยธวาทิตได้รับการพัฒนารูปแบบองค์ประกอบ
ของเครื่องดนตรีให้เป็นมาตรฐานในปัจจุบัน ประกอบไปด้วยกลุ่มเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ลมเป่าให้เกิดเสียงโดยการเป่าลมเข้าไปในท่อ (Pipe) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเปลี่ยนเสียงให้ สูง – ต่ำ แตกต่างกันตามขนาดของความกว้าง ความยาว และความแรงของลมที่เป่า การที่เรียกว่า เครื่องลมไม้ เพราะว่าในสมัยแรก ๆ ตัวท่อทำด้วยไม้นั่นเอง แม้ในปัจจุบันบางชนิดทำด้วยโลหะหรือวัสดุอื่น ๆ แล้ว ก็ยังเรียกว่า เครื่องลมไม้ เช่นเดิม สำหรับเครื่องลมไม้ที่ใช้ในวงโยธวาทิต มีการแยกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้

เครื่องดนตรีประเภทขลุ่ย (Flute Instruments)
เครื่องดนตรีประเภทนี้ได้แก่เครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งที่พัฒนาการมาพร้อมกับอารยธรรมของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในสมัยยุคหิน โดยนำกระดูกสัตว์และเขากวางที่เป็น ท่อนกลวงหรือไม่ก็เอาไม้ไผ่มาเจาะรูแล้วเป่าให้เกิดเสียงต่าง ๆ ซึ่งต่อมากลายเป็นต้นกำเนิดของเครื่องดนตรีประเภทขลุ่ย ได้แก่
1. ฟลู้ต (Flute)
ฟลู้ต เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้ชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมนำมาบรรเลงในวงดนตรีประเภทต่าง ๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ดนตรีสาร (2534) ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับการเรียกชื่อฟลู้ตในเรื่องเครื่องลมไม้ ไว้ดังต่อไปนี้
ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Flute
ภาษาอิตาเลียน เรียกว่า Flauto
ภาษาฝรั่งเศส เรียกว่า Fiute
ภาษาเยอรมัน เรียกว่า Flote
ดนตรีสีแสด (2537) ได้กล่าวเกี่ยวกับขลุ่ยฟลู้ตโดยสรุปไว้ว่า ฟลู้ต เริ่มนำมาใช้ในวงดนตรีในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นขลุ่ยที่มีแต่รูเปล่า ๆ (คล้ายขลุ่ยไทย ) เมื่อเล่นขลุ่ยชนิดนี้ผู้เล่นจะใช้นิ้วมืออุดรู ถ้ารูใดห่างน้อยก็ต้องพยายามเหยียดนิ้วไปอุดให้สนิท ฟลู้ตโบราณนี้จึงมีเสียงไม่มาก ในราว พ.ศ. 2213 (ค.ศ. 1670) ได้มีนักประดิษฐ์ขลุ่ยผู้หนึ่งต้องการให้ฟลู้ตเล่นเสียงได้มากขึ้น จึงติดคีย์อันหนึ่งเพื่อปิดรูที่นิ้วถ่างไปได้ยาก
เธโอบัลด์โบม (Theobald Bohm พ.ศ. 2337 – 2424 หรือ ค.ศ. 1794 – 1881) นักเล่น ฟลู้ตของวงดนตรีแห่งราชสำนักบาวาเรีย ได้ปรับฟลู้ตจนเป็นเครื่องดนตรีสำคัญ เขาได้เจาะรูและติดคีย์เพิ่มขึ้นอีก ปลายกระเดื่องตรงที่ปิดรูซึ่งเป็นฝากลมเล็ก ๆ เขาได้บุนวมเพื่อปิดรูให้สนิทยิ่งขึ้น Bohm ได้แก่ ไขกลไกเสียใหม่จนรัดกุม สามารถเล่นเสียงต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ขลุ่ยของเราจึงได้ ชื่อว่า ขลุ่ยโบม (Bohm flute) และเป็นขลุ่ยที่ยังนิยมใช้กันมาจนทุกวันนี้ Bohm ยังนับว่าเป็น คนแรกที่ประดิษฐ์ด้วยโลหะ ชนิดที่มีราคาแพงก็ทำด้วยเงิน ทองคำ ฟลู้ตที่ทำด้วยโลหะจะมีคุณภาพของเสียงเช่นเดียวกับฟลู้ตที่ทำด้วยไม้ หรืออีโบไนท์ ฟลู้ตมีความยาว 26.5 นิ้ว มีช่วงเสียงต่ำแต่ C ที่สูงขึ้นไปอีก 3 คู่แปด (3 Octave) เสียงของฟลู้ตคล้ายเสียงของขลุ่ยทั่ว ๆ ไป คือเสียงต่ำจะนุ่มนวลเสียงสูงพราวพริ้วบริสุทธิ์แจ่มใส ฟลู้ต จึงเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นท่วงทำนอง (Melodic Instrument ) และเหมาะใช้บรรเลงเดี่ยว (Solo) เสียงของฟลู้ตใช้เลียนเสียงนก ลมพัด ได้ เป็นอย่างดี การเปลี่ยนระดับเสียง โดยการใช้ริมฝีปากและเป่าลมแรง เรียกว่า โอเวอร์ โบล์ว (Over Blow) เป็นการบังคับเสียงให้สูงขึ้นอีก 1 ช่วง คู่ 8 โดยไม่มีกระเดื่องช่วย ซึ่งเป็นระบบของเครื่องมือฟลู้ต และปิคโคโล
ชลาสินธิ์ (2530) ได้กล่าวถึงฟลู้ตในวารสารถนนดนตรี 1(9) เรื่องมารู้จักเครื่องดนตรีกันเถอะเอาไว้ว่า ฟลู้ต เกิดเสียงโดยการผิวลมให้ผ่านรูทางด้านข้างในองศาที่พอเหมาะ อาศัยความสั้นยาวของท่อฟลู้ต ทำให้เกิดความแตกต่างของระดับเสียง แต่เดิมเรียกว่า สวีเกิล (Swegel) หมายความถึง ฟลู้ตทุกประเภทในยุคเริ่มต้น ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีบทบาทและความสำคัญมากนัก จนกระทั่งยีน แบบตีส ลุลลี (Yean Baptist Lully) มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1632 – 1687 เป็น ผู้นำฟลู้ตมาบรรเลงในวงออร์เคสตรา ในปี ค.ศ. 1750 โยฮันน์ คว้านซ์ (Yohann Quantz) เป็นทั้งนักเป่าฟลู้ต นักประดิษฐ์และนักซ่อมสร้างฟลู้ต สามารถแนะนำฟลู้ตให้เป็นที่รู้จักในฐานะเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงเดี่ยว จนกระทั่งในสมัยคลาสสิค ไฮเดิน (Haydn) เป็นผู้ที่ให้ความสำคัญต่อฟลู้ตจนสามารถเป็นเครื่องดนตรีประจำวงออร์เคสตราอย่างถาวร




ฟลู้ตมีลักษณะและส่วนประกอบดังนี้






ภาพที่ 2.1 แสดงลักษณะของฟลู้ต
ที่มา (Microsoft Music Instruments, 1994)

จากภาพที่ 2.1 ฟลู้ต ในปัจจุบันทำด้วยโลหะมี 3 ท่อน ท่อนแรกหรือท่อนบนใช้สำหรับเป่า ส่วนท่อนกลางเป็นระบบนิ้วที่เปลี่ยนระดับเสียงและท่อนล่างเป็นระบบนิ้วที่ใช้ปรับให้เหมาะสมและสะดวกสำหรับผู้บรรเลง

2. ปิคโคโล (Piccolo)
ดนตรีสาร (2534) ได้ให้คำอธิบายและการเรียกชื่อไว้ดังนี้
ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Piccolo
ภาษาอิตาลี เรียกว่า Plauto Piccolo Otlavino
ภาษาฝรั่งเศส เรียกว่า Petite Flute
ภาษาเยอรมัน เรียกว่า Kleine Flote
ปิคโคโลในศัพท์ในภาษาอิตาลี แปลว่า เล็ก หรือ จิ๋ว คำนี้เป็นศัพท์ย่อมาจากเฟลาโต ปิคโคโล ซึ่งแปลว่า ขลุ่ยฟลู้ตขนาดจิ๋ว แต่เสียงสูงขึ้นจากโน้ตที่บันทึก 1 ช่วง คู่ 8 ซึ่งบางทีก็มี ผู้เรียกว่า ขลุ่ยฟลู้ตคู่ 8 เครื่องนี้ทำมาจากไม้หรืออีโบไนท์ (Ebonite) แต่ปัจจุบันทำด้วยโลหะมีลำตัวและยาวประมาณครึ่งหนึ่งของฟลู้ต ไม่มีท่อนปลาย (Flute Joint) ดังนั้นเสียงต่ำ C และ C# จึงไม่มี
ธนาคาร แพทย์วงษ์ (2541) ได้กล่าวไว้ว่า ปิคโคโลเรียกชื่อเต็มว่า ปิคโคโลฟลู้ต ขลุ่ยชนิดนี้มีลักษณะคล้ายคลึงฟลู้ตแต่มีขนาดเล็กกว่า มี 2 ท่อนคือ ท่อนส่วนบนและส่วนกลาง เท่านั้น ความยาวเพียง 12 นิ้ว เสียงของปิคโคโลสูงกว่าฟลุ้ตหนึ่งคู่แปด (an Octave) และเป็นเสียงที่แหลมคม ให้ความรู้สึกร่าเริงกว่าฟลู้ต การบันทึกโน้ตบนสกอร์ (Score) แนวบรรเลงของปิคโคโลจะอยู่บนสุดของสกอร์
ในการปฏิบัติบทเพลงนั้น ปิคโคโลใช้ในระดับเสียงสูงสุดของวงดุริยางค์ ซึ่ง นักประพันธ์เพลงมักจะกำหนดให้เสียงของปิคโคโล อยู่ในบทเพลงที่ต้องการแสดงอารมณ์ โลดโผน สยดสยองของธรรมชาติเท่านั้น มิได้ให้โอกาสใช้กับเพลงทั่ว ๆ ไป สำหรับรูนิ้วทั้ง 6 ตลอดจน หลักการปฏิบัติที่เทียบกับนิ้วกระเดื่องต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกับฟลู้ต ปิคโคโลใช้ระบบของเธโอบัลด์ โบม เนื่องจากปิคโคโลเป็นเครื่องดนตรีขนาดเล็ก จึงเป็นการยากที่จะรักษาระบบเสียงให้แน่นอนได้ดี ดังนั้นสำหรับผู้ปฏิบัติแล้วอย่างน้อยจะต้องมีโสตประสาทที่ดีอยู่ด้วย
หลักการปฏิบัติของปิคโคโล เมื่อเทียบกับเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ เป็นเครื่องดนตรีที่ง่ายกว่า สำหรับการเล่นมักเป็นไปในทำนองเพลงที่คึกคัก ร่าเริง สดใส ไม่เหมาะสมที่จะเขียนให้เล่นในทำนองเพลงที่เป็นคำร้อง เหมือนกับฟลู้ต ปิคโคโลตามปกติมักจะถูกบรรเลงโดยผู้เป่าฟลู้ต อยู่เสมอ ดังนั้นการเขียนให้ปิคโคโลปฏิบัติควรระวังเรื่องการให้มีเวลาพอที่จะเปลี่ยนเครื่องมือได้ทันตามกำหนด
ปิคโคโล เป็นเครื่องมือที่มีเสียงสูงในวงดุริยางค์ ดังนั้นจึงมีประโยชน์ในการใช้ดังนี้
1. ดำเนินแนวที่มีเสียงสูงต่อจากเสียงฟลู้ต
2. ควบทำนองเพลงสูงขึ้นอีก 1 ช่วง คู่ 8 เปอร์เฟค (Perfect)
3. เป็นการกระตุ้นความสัมพันธ์ให้กับเครื่องลมไม้
4. ทำเสียงได้คล้ายคลึงกับเสียง ฮาร์โมนิค (Harmonic) ของไวโอลิน (violin)
การเล่นบันไดเสียงเพลง ปิคโคโล เล่นได้ดีเป็นพิเศษ เกี่ยวกับเสียงรัว (Trill) และการเดี่ยว (Solo) ที่จะทำเสียงนกเล็ก ๆ ก็กระทำได้ผลดีมากที่สุด ดังโน้ตที่แสดงขอบเขตเสียง ต่อไปนี้

ขอบเขตเสียงจากการบันทึก เสียงที่แท้จริง




ภาพที่ 2.2 แสดงขอบเขตเสียงของฟลู้ตและปิคโคโล
ที่มา (ดนตรีสีแสด, 2547)
ดนตรีสีแสด (2547) ได้กล่าวถึงข้อแตกต่างของฟลู้ต และปิคโคโลไว้ว่า
1. ฟลู้ต มี 3 ท่อน ปิคโคโลมี 2 ท่อน
2. ฟลู้ต บรรเลงได้เสียงตรงตามโน้ต ปิคโคโล เสียงจริงสูงกว่าโน้ต 1 ช่วงเสียง
3. ระดับเสียงของฟลุ้ต C ถึง C 3 ช่วงเสียง (3 Octave) ปิคโคโล D ถึง A
4. ฟลู้ตใช้ได้ในโอกาสทั่ว ๆ ไป ปิคโคโล ใช้ในบางโอกาสเท่านั้น
5. ฟลู้ต ยาวและใหญ่กว่า ปิคโคโล ประมาณ 1 เท่าตัว
6. เสียง ฟลู้ต เสียงต่ำ นุ่มนวล ละห้อย โอดครวญ เสียงกลาง นุ่มนวล น่าฟัง เสียงสูง คม และแจ๋วกระจ่าง ส่วนปิคโคโล เสียงกลาง มีลักษณะอ่อนนุ่ม เสียงสูง คม แข็งกระด้าง กระจ่าง มีข้อพิเศษคือทำเสียงรัวได้ดี ทำเสียงนกเล็ก ๆ ได้คล้ายที่สุด






ภาพที่ 2.3 แสดงลักษณะของปิคโคโล
ที่มา (Microsof Music Instruments, 1994)

จากภาพที่ 2.3 ปิคโคโล ในปัจจุบันทำด้วยโลหะ มี 2 ท่อน มีลักษณะคล้ายกับฟลู้ต แต่เล็กกว่าและมีเสียงที่เล็กแหลม

เครื่องดนตรีประเภทลิ้นเดี่ยว (Single – reed Instruments)
เครื่องดนตรีประเภทลิ้นเดี่ยวในวงโยธวาทิต มีประเภทต่าง ๆ ดังนี้
1. คลาริเนต (Clarinet)
ดนตรีสาร (2534) ได้กล่าวเกี่ยวกับคลาริเนตเอาไว้ในเรื่องเครื่องลมไม้ ดังนี้
ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Clarinet
ภาษาอิตาลี เรียกว่า Clarinetto
ภาษาฝรั่งเศส เรียกว่า Clarinette
ภาษาเยอรมัน เรียกว่า Klarinetto
คลาริเนต เป็นปี่ลิ้นเดี่ยว ที่ได้รับการดัดแปลงจากปี่โบราณชนิดหนึ่งที่เรียกว่าชาลือโม (Chalumeau) ซึ่งเป็นปี่แบบลิ้นเดี่ยวเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แบบลิ้นคู่ก็มีด้วย โดยฝีมือของเด็นเนอร์ และลูกชายของเขา (Johnn C. Denner and his son Johnn Denner ค.ศ. 1655 – 1707) ราว ค.ศ. 1690 คลาริเนตเลาแรกที่ประดิษฐ์ขึ้นนั้นมีรูเปล่า ๆ ปี่ชนิดนี้ได้รับการปรับปรุงครั้งสำคัญ เมื่อปี ค.ศ. 1834 โดยโคลเซ (ค.ศ. 1808 – 1880) ครูสอนคลาริเนตในวิทยาลัยการดนตรีแห่งกรุงปารีส ได้นำเอากระเดื่องระบบ โบม เช่นเดียวกับฟลุ้ตมาใช้ นักแต่งเพลงชาวเบลเยี่ยมผู้หนึ่งได้นำคลาริเนตมาใช้ในวงดุริยางค์เป็นครั้งแรกในการบรรเลงเพลงศาสนาประเภทแมส (Mass) ประมาณ ค.ศ. 1720 จากนั้นก็ไม่มีผู้สนใจปี่ชนิดนี้เท่าใดนัก จนกระทั่งกลุ๊ค (Gluck ค.ศ. 1741 – 1787) นำมาใช้ในการแสดงอุปรากรเรื่อง โอฟีโอ (Orfeo) เมื่อปี ค.ศ. 1762 โมสาร์ท นับได้ว่าเป็นผู้ที่นำคลาริเนตมาใช้ใน วงดุริยางค์อย่างจริงจัง ท่านผู้นี้นอกจากจะใช้บรรเลงในวงซิมโฟนีแล้วยังได้แต่งคอนแชร์โตและ ควินเต็ทให้ปี่ชนิดนี้แสดงถึงความงดงามของเสียงได้อย่างเยี่ยมยอด ส่วนเบโธเฟนก็สนใจคลาริเนตอยู่ไม่ใช่น้อย เขาได้เริ่มให้คลาริเนตเล่นเดี่ยวในบทเพลง Eroica Symphony ต่อมาเขาได้แต่ง Pastoral Symphony อันเป็นการบรรยายถึงความงดงามของธรรมชาติ ได้ให้คลาริเนตเลียนเสียงนกคู๊กคูร่วมกับฟลุ้ตและโอโบ ซึ่งเลียนเสียงนกไนติงเกล และนกเควล ในตอนท้ายของท่อนที่สองของซิมโฟนีชิ้นนี้ ปี่คลาริเนตทำด้วยไม้ชนิดเดียวกับโอโบ คือ ทำด้วยอีโบไนท์ มีลำตัวคล้ายโอโบ กลไกของคีย์นิยมใช้ระบบโบม ลำตัวของปี่มี 5 ท่อน คือ mouthpiece, barrel, top joint, และ bell ท่อน bell นั้น ลำโพงจะบานกว่าของโอโบเพียงเล็กน้อย ท่อน barrel ที่ต่อจากท่อน mouth piece จะมีลักษณะป่องออกมาเพียงเล็กน้อย เมื่อถอดออกมาจะมีรูปร่างคล้ายถังเบียร์ ท่อนที่น่าสังเกตมากที่สุดคือท่อนปากเป่า (mouthpiece) ท่อนนี้มักทำด้วยอีโบไนท์หรือพลาสติก (มีลักษณะคล้ายปากเป็ด) ลิ้นของปี่ชนิดนี้มีเพียงลิ้นเดียว ลิ้นจะแนบกับที่เป่า ด้านที่เปิดเป็นช่องลมและประกบติดกันด้วยปลอกรัด (Ligature) เวลาเป่าผู้เป่าจะเม้มริมฝีปาก ให้ลิ้นของปี่แตะอยู่บนริมฝีปากล่าง ส่วนริมฝีปากบนจะพักอยู่บนที่เป่าด้านบน เสียงสูงของคลาริเนต แหลมคม เสียงกลาง ๆ ราบเรียบ นุ่มนวลและกลมกล่อม ยกเว้นเสียง G# - A – Bb เล่นยากถ้าไม่ฝึกหัดจนคล่องว่องไว หรือไม่ชำนาญจริง จะได้เสียงที่ไม่ค่อยรื่นหูนัก ผู้เล่นควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเล่น 2 – 3 เสียงนี้ เราเรียกว่าช่วงเบรก (Break) เสียงต่ำ ทุ้มลึกมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า ชาลือโม (CHalumeau) ลักษณะเสียงจะสงบและค่อนข้างเลือนลาง

การไล่เสียงจาก สูงไปต่ำ หรือต่ำไปสูง สามารถทำได้ดี คล่องแคล่วว่องไว จนได้ รับฉายาว่า เป็นไวโอลิน แห่งเครื่องลมไม้ (The Violin of the Wind Instruments) จากเบาสุดไปถึงแรงสุดก็ทำได้ดี สามารถตัดเสียงต่าง ๆ ได้มาก
ชลาสินธิ์ (2530) ได้กล่าวถึงคลาริเนต ในมารู้จักเครื่องดนตรีกันเถอะ ของวารสารถนนดนตรี 2(1) เอาไว้พอสังเขปว่า คลาริเนต เป็นเครื่องดนตรีในวงโยธวาทิตที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 คลาริเนตเรียกกันว่า ชาลูโม ที่จริงแล้วก่อนหน้านั้น เครื่องดนตรีที่ใช้ลิ้นก็มี ซึ่งมีส่วนในการวิวัฒนาการมาเป็นคลาริเนต สำหรับชาลูโมนั้นเป็นปี่ปากเป็ดเหมือนกับคลาริเนต มีรูปิดด้วยนิ้วสำหรับการเปลี่ยนเสียง และมีแป้นนิ้วเพียง 1 อัน เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1690 – 1720 สองพ่อลูก โยฮัน ซี เดนเนอร์ ผู้เป็นพ่อและโยฮัน เดนเนอร์ผู้เป็นลูก ได้เพิ่มแป้นนิ้วสำหรับชาลูโม ในสมัยคลาสสิค คลาริเนตมีความสำคัญมากขึ้น การพัฒนาเรื่องระบบเสียง ระบบนิ้วเป็นไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ค.ศ. 1843 โคลเซ (Klose) ได้นำเอาระบบนิ้วของโบเอ็มที่ คิดขึ้นใช้กับฟลู้ต มาดัดแปลงใช้กับคลาริเนตด้วย กล่าวคือการใช้นวมปิดรูปี่แทนการใช้นิ้วปิดนั่นเอง
ในตระกูลคลาริเนตนั้น ประกอบด้วยคลาริเนตหลายขนาดด้วยกัน สำหรับที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป เช่น โซปราโนคลาริเนต อีแฟล็ตโซปราโนคลาริเนต บีแฟล็ตโซปราโนคลาริเนต เออัลโตคลาริเนต อีแฟล็ตเบสคลาริเนต บีแฟล็ตเบสคลาริเนต เป็นต้น
คลาริเนตสามารถผลิตเสียงได้ 3 ช่วงทบ ในระดับเสียงต่ำของคลาริเนตเรียกว่า ระดับเสียง ชาลูโม ในระดับเสียงช่วงกลางนั้นเรียกว่า เสียงลำคอ (Throat Tone) และระดับเสียงช่วงบนเรียกว่า คลาริโน (Clarino) ส่วนระบบนิ้วของคลาริเนตนั้นมีระบบนิ้วที่เหมือนกันทุกขนาด
ดนตรีสีแสด (2539) ได้กล่าวถึงคลาริเนตพอสรุปได้ว่า คลาริเนต ทำด้วยไม้ เอโบนี (Eboni) โรสวู๊ด (Rosewood) เกรนาดิลา (Grenadilla) หรือวัสดุสังเคราะห์ ประเภทอีโบไนท์ (Ebonite) มีลำตัวคล้ายปี่โอโบ กลไกของคีย์นิยมใช้ระบบโบม ลำตัวของปี่มี 5 ท่อน คือ
1. ปากปี่ (Mouthpiece) ส่วนมากทำด้วยพลาสติก อีโบไนท์ สมัยนี้ทำด้วยแก้วเจียระไนก็มี
2. ท่อต่อ (Barrel) ป่องออกเพียงเล็กน้อย เมื่อถดถอยออกมาจะมีรูปร่างคล้ายถังเบียร์
3. ท่อนบน (Top Joint)
4. ท่อนกลาง (Bottom Joint)
5. ลำโพง (Bell) จะบานกว่าของโอโบเพียงเล็กน้อย
ลิ้นของปี่ชนิดนี้มีเพียงลิ้นเดียว ลิ้นจะแนบกับที่เป่า ด้านบนที่เปิดเป็นช่องลมและประกบติดกันด้วยปลอกรัด (Ligature) เวลาเป่าผู้เป่าจะเม้มริมฝีปาก ให้ลิ้นของปี่แตะอยู่ริมฝีปากล่าง ส่วนริมฝีปากบนผู้เป่าจะทำให้เกิดคุณสมบัติของเสียงตลอดจนความดังหรือเบาให้แตกต่างกัน โดยการให้ลิ้นของปี่เข้าไปอยู่ในปากมากหรือน้อยและการเม้มริมฝีปากล่างกดกับลิ้นปี่หนัก – เบาเพียงใด
คลาริเนตเป็นตระกูลใหญ่ เรียงตามลำดับจากเสียงสูงลงไปหาเสียงต่ำ ดังนี้

ตารางที่ 2.1 เปรียบเทียบความยาวของปี่คลาริเนต

ชนิดของปี่ ความยาว
โซปรานิโน คลาริเนต เอแฟล็ต (Sopranino Clarinet in Ab) 14 นิ้ว
โซปรานิโน คลาริเนต อีแฟล็ต (Sopranino Clarinet in Eb) 19 นิ้ว
โซปรานิโน คลาริเนต ดี (Sopranino Clarinet in D) 20 1 /2 นิ้ว
โซปรานิโน คลาริเนต ซี (Sopranino Clarinet in C) 22 3 / 4 นิ้ว
โซปรานิโน คลาริเนต บีแฟล็ต (Sopranino Clarinet in Bb) 26 1 / 4 นิ้ว
โซปรานิโน คลาริเนต เอ (Sopranino Clarinet in A) 27 1 / 2 นิ้ว
อัลโต คลาริเนต อีแฟล็ต (Alto Clarinet in Eb) 38 นิ้ว
เบส ฮอร์น เอฟ (Bass Horn in F) 42 1 / 2 นิ้ว
เบส คลาริเนต บีแฟล็ต (Bass Clarinet in Bb) 55 นิ้ว
เบส คลาริเนต เอ ( Bass Clarinet in A) 55 นิ้ว
คอนทรา คลาริเนต บีแฟล็ต (Contra Bass Clarinet in Bb) 106 นิ้ว

ที่มา (นิวัฒน์ วรรณธรรม, 2541)

เครื่องดนตรี ที่ใช้ประจำอยู่ในวงดุริยางค์ หรือวงโยธวาธิต มี 4 ชนิด
1. โซปราโน คลาริเนต อีแฟล็ต (Sopranino Clarinet in Eb)
2. โซปราโน คลาริเนต บีแฟล็ต (Sopranino Clarinet in Bb)
3. โซปราโน คลาริเนต เอ (Sopranino Clarinet in A)
4. เบส คลาริเนต บีแฟล็ต (Bass Clarinet in Bb)
คลาริเนต ตระกูลอื่น ๆ ที่เหลือนอกจากนี้ นำมาใช้ในบางโอกาสเท่านั้น
ข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับเครื่องดนตรีประเภทคลาริเนต
1. โซปราโน คลาริเนต เอแฟล็ต (Ab) และโซปราโน คลาริเนต ดี (D) ใช้โซปรานิโน คลาริเนต อีแฟล็ต (Eb) แทน
2. โซปราโน คลาริเนต ซี (C) ใช้โซปราโน คลาริเนต บีแฟล็ต (Bb) เอ (A) แทน
3. อัลโต คลาริเนต อีแฟล็ต (Bb) มักใช้แทน เบส ฮอร์นพบในวงโยธวาธิต วงแจ๊ส
4. เบส คลาริเนต เอ (A) หาได้ยากกว่าปี่ชนิดใดในตระกูลนี้
5. คอนทรา คลาริเนต บีแฟล็ต (Bb) เป็นปี่ที่ใหญ่ที่สุด นักแต่งเพลงบางคนนำมาใช้
6. อัลโต คลาริเนต อีแฟล็ต และเบส คลาริเนต แตกต่างจากปี่ชนิดอื่น ๆ เพราะตรงที่ปากลำโพง ทำด้วยโลหะงอโค้งขึ้นมาและมีท่อลมโลหะระหว่างที่เป่ากับลำตัวปี่ เรียกว่า คอ (Neck)
7. โซปราโน คลาริเนต บีแฟล็ต เอแฟล็ต และ อีแฟล็ต เป็นปี่ที่ใช้ลิ้นเดี่ยว กำเนิดเมื่อ ค.ศ. 1690 ปรับปรุงครั้งสำคัญเมื่อ ค. ศ. 1843 โดยโคลเซย์ (Klose) ซึ่งเป็นอาจารย์สอน คลาริเนตในวิทยาลัยการดนตรีแห่งกรุงปารีส
8. โซปราโน คลาริเนต อีแฟล็ต เป็นปี่ที่มีเสียงสูงกว่าปี่ชนิดอื่น ๆ การปฏิบัติใช้แทนเสียง Violin ที่สูง ๆ ในวงโยธวาธิต
9. เบส คลาริเนต อีแฟล็ต และบีแฟล็ต ในปัจจุบันผลิตขึ้นในฝรั่งเศส เมื่อ ค. ศ. 1838 เดิมปี่ชนิดนี้มีรูปร่างคล้าย ปี่ บาสซูน ซึ่งท่อลมงอพับเป็น 2 ท่อน ต่อมาเมื่อได้รับการแก้ไขจึงมี รูปร่างคล้าย แซกโซโฟนในปัจจุบัน แตกต่างกันที่แซกโซโฟนเป็นโลหะทั้งหมดลักษณะการปฏิบัติ เนื่องจากเครื่องมือขนาดใหญ่มากกว่าปี่ธรรมดามาก เพราะใช้เสียงในระดับเสียงต่ำ สำเนียงของปี่นี้ จึงกังวานกลมกล่อมและหนักแน่นดี เหมาะที่จะเป็นรากฐานของคอร์ด (Chord)
10. คอนทรา เบส คลาริเนต (Contra Bass Clarinet) ซึ่งไม่ค่อยพบในวงดุริยางค์ ปี่ชนิดนี้มีระดับเสียงต่ำลงไปจาก เบส คลาริเนต อีก 1 ช่วง คู่ 8 ตัว ปี่ทำด้วยโลหะมีรูปร่างคล้าย ดับเบิล บาสซูน (Double Bassoon)





ปี่คลาริเนต มีรูปร่างและลักษณะ ดังนี้










ภาพที่ 2.4 แสดงลักษณะและส่วนประกอบของคลาริเนต
ที่มา (Microsoft Musical Instruments, 1994)

ตารางที่ 2.2 แสดงขอบเขตเสียงของปี่คลาริเนต

ขอบเขตเสียงจากเครื่อง ขอบเขตเสียงเทียบจากเปียโน ขอบเขตเสียงที่บรรเลงได้ดี
Bb Clarinet




Alto Clarinet






ตารางที่ 2.2 แสดงขอบเขตเสียงของปี่คลาริเนต (ต่อ)

ขอบเขตเสียงจากเครื่อง ขอบเขตเสียงเทียบจากเปียโน ขอบเขตเสียงที่บรรเลงได้ดี
Bass Clarinet








ที่มา (Hendrickson, 1996)

2. แซกโซโฟน (Saxophone)
ดนตรีสาร (2534) ได้กล่าวเกี่ยวกับแซกโซโฟนเรื่องเครื่องลมไม้ พอสรุปได้ว่า
ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Saxophone หรือ Saxaphone
ภาษาอิตาลี เรียกว่า Saxofone หรือ Saxsofone
ภาษาฝรั่งเศส เรียกว่า Saxophone
ภาษาเยอรมัน เรียกว่า Saxofon
แซกโซโฟน กำเนิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840 ) โดยชาวเบลเยี่ยมชื่อ อดอล์ฟ แซก (Adolphe Sax ค.ศ. 1814 – 1894 ) ซึ่งเป็นผู้สร้างเครื่องดนตรีประเภทเครื่องทองเหลืองที่มี ชื่อเสียงสมัยนั้น แซกโซโฟน มีอายุน้อยเมื่อเทียบกับเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ ประดิษฐ์เมื่อ ค.ศ. 1840 ที่นครปารีส ประเทศฝรั่งเศส อดอล์ฟ แซก ผลิตแซกโซโฟน อย่างไร เรื่องมีอยู่ว่า ก่อน ค.ศ. 1840 เล็กน้อย ได้มีนายวงโยธวาทิตมาจ้างให้อดอล์ฟ แซก ผลิตเครื่องดนตรีชนิดใดก็ได้ ซึ่งสามารถเล่นเสียงให้ดัง เพื่อใช้ในวงโยธวาทิต (Millitary Band) และต้องการให้เครื่องดนตรีชนิดใหม่นี้เป็นเครื่องลมไม้ อดอล์ฟ แซก จึงได้นำเอาเครื่องดนตรีประเภทเครื่องทองเหลืองชนิดหนึ่งซึ่งล้าสมัยแล้ว เรียกว่าแตร ออพิคเลียด (Ophicleide) มาถอดที่เป่าอันเดิมออก แล้วเอาที่เป่าของคลาริเนตมาใส่แทน จากนั้นเขาได้แก้กลไกของกระเดื่องต่าง ๆ และปรับปรุงจนสามารถใช้งานได้ แซกโซโฟนจึงได้กำเนิดขึ้นมาเป็นชิ้นแรกของโลก เมื่อกำเนิดใหม่ ๆ นำมาใช้ในวงโยธวาทิต (Millitary Band) และ ต่อมาได้รับการพัฒนามากขึ้นและนำมาใช้ในวงดนตรีแจ๊ส (Jazz Band)
ในอดีต แซกโซโฟน มีฉายาว่าคลาริเนตทองเหลือง เพราะสามารถเล่นได้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวเหมือนคลาริเนต ในปัจจุบันแซกโซโฟนได้รับการนิยมสูงสุด ดังจะเห็นได้จากศิลปินต่างประเทศได้นำมาแสดงในเมืองไทยหลายครั้ง และมีการจัดอันดับผู้ที่มีความสามารถในการเล่นแซกโซโฟน ของโลกด้วย
สิ่งที่พิสดารที่สุดในการประดิษฐ์เครื่องดนตรีชนิดนี้คือ
1. การเป่าใช้ลิ้นเดี่ยวเหมือน คลาริเนต
2. ลำตัวใช้ท่อกลมเรียวทรงยาวทรงกรวยเหมือนโอโบ
3. ใช้ทองเหลืองเหมือนพวกแตร
แซกโซโฟน สร้างด้วยทองเหลือง จึงต้องมีกระหลั่ยเงิน โครเมียม เพื่อป้องกันสนิมและเพื่อความสะดวกในการรักษาความสะอาด และความสวยงาม
ในการสร้างแซกโซโฟนเพื่อนำมาใช้งานให้ได้เสียงความเหมาะสมของงานดังนี้
1. โซปรานิโน แซกโซโฟน อี แฟล็ต
2. โซปราโน แซกโซโฟน บี แฟล็ต
3. อัลโต แซกโซโฟน อี แฟล็ต
4. เมโลดี แซกโซโฟน ซี
5. เทเนอร์ แซกโซโฟน บี แฟล็ต
6. บาริโทน แซกโซโฟน อี แฟล็ต
7. เบส แซกโซโฟน บี แฟล็ต
8. คอนทราเบส แซกโซโฟน อี แฟล็ต
ในหมู่เครื่องดนตรีทั้งหมด มี อัลโต และทาวเนอร์ มีเสียงไพเราะน่าฟังกว่าชนิด อื่น ๆ ส่วน ซี เมโลดี และ บี แฟล็ต โซปราโน ก็ได้รับความนิยมมากในหมู่นักดนตรีเช่นกัน
คุณภาพของเสียงปี่แซกโซโฟน
1. คล้ายเสียงปี่คลาริเนต และ โอโบ
2. คล้ายเสียงเครื่องทองเหลือง
3. คล้ายเสียงซอ วิโอลอน เชลโล
แซกโซโฟน เหมาะสำหรับใช้ในวงโยธวาทิต แต่ไม่ควรใช้เป็นเครื่องประจำวงใน วงซอ นอกจากใช้เป็นบางครั้งบางคราวนักประพันธ์ดนตรีของฝรั่งเศสใช้ แซกโซโฟน อัลโต และเทนเนอร์มาใช้แทรกเข้าไว้ในบางเพลงของตนเป็นบางตอน แต่ไม่ใช้เป็นเครื่องประจำวง แซกโซโฟนเป็นเครื่องสำคัญของวงแจ๊ส ระดับเสียงต่าง ๆ ที่แซกโซโฟนสามารถปฏิบัติมีขอบเขตเท่ากันหมด คือ บี แฟล็ต ถึง เอฟ ชาร์ป และในการบันทึกตัวโน้ตก็ใช้กุญแจซอลทั้งหมด ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่จะตั้งไว้ที่เสียงใดก็ตาม
แซกโซโฟน เปล่งเสียงตรงตามตัวโน้ตที่บันทึกไว้ทั้งหมด เครื่องเสียงนี้จะรวมอยู่ในประเภทที่ปฏิบัติต่างจากเสียงจริงของโน้ต เรียกว่า Transposing Intruments ยกเว้น ซี เมโลดี แต่ก็ยังมีเสียงจริง ต่ำ ลงมาอีก 1 ช่วงคู่ 8 แซกโซโฟน คือการผสมผสานเข้าด้วยกันระหว่างเสียง ไวโอลิน (Violon) เชลโล (Cello) ปี่คอร์ แองเกลส์ (Cor Anglais ) และปี่ คลาริเนต (Clarinet )
แซกโซโฟน เล่นกระซิบกระซาบ อ่อนหวานนิ่มนวล หรือจะแผดให้แสบโสตก็ได้ และเหมาะสำหรับใช้บรรเลงเดี่ยว (Solo) มีขอบเขตของเสียง ดังนี้

Open note



ภาพที่ 2.5 แสดงขอบเขตของเสียงแซกโซโฟน
ที่มา (นิวัฒน์ วรรณธรรม, 2541)

แซกโซโฟน ในปัจจุบันนิยมใช้กันอยู่ 5 ชนิด คือ
1. โซปราโน แซกโซโฟน บี แฟล็ต เสียงต่ำลง คู่ 2 Major
2. อัลโต แซกโซโฟน อี แฟล็ต เสียงต่ำลง คู่ 6 Major
3. เทเนอร์ แซกโซโฟน บี แฟล็ต เสียงต่ำลง คู่ 9 Major
4. บาริโทน แซกโซโฟน อี แฟล็ต เสียงต่ำลง คู่ 13 Major
5. เบส แซกโซโฟน บี แฟล็ต เสียงต่ำลง คู่ 16 Major
แซกโซโปนไม่นิยมใช้มี 2 ชนิด คือ
1. โซปรานิโน แซกโซโฟน อี แฟล็ต ชนิดเล็กที่สุด เสียงสูงขึ้น คู่ 3 Major
2. คอนทราเบส แซกโซโฟน อี แฟล็ต ชนิดใหญ่ที่สุด เสียงต่ำลง 20 Major
สำหรับ เมโลดี แซกโซโฟน ซี ซึ่งกำเนิดหลังสุดได้รับความนิยมไม่มากนัก
แซกโซโฟน เมื่อเทียบเสียงกับเครื่อง C เป็นเครื่อง Transposing Instruments ดังนี้
ขอบเขตของเครื่องทุกเครื่อง





1. โซปรานิโน แซกโซโฟน อี แฟล็ต




2. โซปราโน แซกโซโฟน บี แฟล็ต




3. อัลโต แซกโซโฟน อี แฟล็ต



4. เมโลดี แซกโซโฟน ซี




5. เทเนอร์ แซกโซโฟน บี แฟล็ต



6. บาริโทน แซกโซโฟน อี แฟล็ต




7. เบส แซกโซโฟน บี แฟล็ต




8. คอนทราเบส แซกโซโฟน อี แฟล็ต




ภาพที่ 2.6 แสดงการเทียบเสียงแซกโซโฟน
ที่มา (นิวัฒน์ วรรณธรรม, 2541)







แซกโซโฟน มีรูปร่างและลักษณะ ดังนี้











ภาพที่ 2.7 แสดงลักษณะและส่วนประกอบของโซปราโน แซกโซโฟน
ที่มา (Microsoft Musical Instruments, 1994)












ภาพที่ 2.8 แสดงลักษณะและส่วนประกอบอัลโต แซกโซโฟน
ที่มา (Microsoft Musical Instruments, 1994)












ภาพที่ 2.9 แสดงลักษณะและส่วนประกอบของเทนเนอร์ แซกโซโฟน
ที่มา (Microsoft Musical Instruments, 1994)












ภาพที่ 2.10 ลักษณะและส่วนประกอบบาริโทน แซกโซโฟน
ที่มา (Microsoft Musical Instruments, 1994)
การเปรียบเทียบขอบเขตของเสียงแซกโซโฟนแต่ละตระกูล มีดังนี้

ตารางที่ 2.3 แสดงการเปรียบเทียบขอบเขตเสียงแซกโซโฟน

ขอบเขตเสียงจากเครื่อง ขอบเขตเสียงเทียบจากเปียโน ขอบเขตเสียงที่บรรเลงได้ดี
Eb Alto Saxophone




Bb Tenor Saxophone




Eb Baritone Saxophone





ที่มา (Hendrickson, 1996)

เครื่องดนตรีประเภทลิ้นคู่ (Double – read Instruments)
เครื่องดนตรีประเภทลิ้นคู่ในวงโยธวาทิต มีประเภทต่าง ๆ ดังนี้
1. โอโบ (Oboe)
นิวัฒน์ วรรณธรรม (2541) ได้ให้คำอธิบายและการเรียกชื่อไว้ดังนี้
ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Oboe หรือ Hautboy
ภาษาอิตาลี เรียกว่า Oboe
ภาษาฝรั่งเศส เรียกว่า Hautbois
ภาษาเยอรมัน เรียกว่า Hobee
โอโบที่ใช้ในปัจจุบันนี้มีต้นกำเนิดมาจาก ปี่ Heutboy เริ่มแรกโอโบมีลักษณะคล้ายปี่ในของไทย คือ ลำตัวมีรูเปล่า ๆ ต่อมาได้รับการแก้ไขดัดแปลงติดกระเดื่องเช่นเดียวกับขลุ่ยโบม ทำให้สะดวกในการเล่นและมีเสียงเพิ่มมากขึ้น รูปร่างโอโบมองเผิน ๆ จะคล้ายปี่คลาริเนตมาก ถ้าสังเกตให้ดีมีความแตกต่างกันตรงที่ปากเป่า (Mouth piece) ปากลำโพง (Bell) และตัวโอโบจะมีขนาดสั้นกว่าโอโบลำตัวและลิ้นยาวทั้งสิ้น 25.5 นิ้ว (เฉพาะส่วนที่เป็นลิ้นยื่นออกมาจากตัวปี่ 2.5 นิ้ว) ลำตัวประกอบด้วยท่อนลม 3 ท่อน ท่อนแรกซึ่งต่อจากที่เป่า เรียกว่า Top joint ท่อนกลางเรียกว่า Lower joint หรือ Bottom joint ท่อนล่างที่เป็นลำโพงเรียกว่าเบล (Bell) ลำตัวโอโบทำด้วยไม้อีบอนี ไม้โรสวู้ด ไม้เกรนาดิลลา (Ebony, Roswood, Grenadilla) หรือวัตถุสังเคราะห์ประเภทอีโบไนท์ ส่วนลิ้นคู่ทำมาจากไม้ที่ลำต้นมีข้อและปล้องจำพวก กก (Anundo donax or Sativa) ไม้ชนิดนี้มีในเขตเมดิเตอร์เรเนียนและที่ดีที่สุดมีเฉพาะทางตอนใต้ของฝรั่งเศส
ช่วงเสียงของโอโบกว้างประมาณ 2 คู่แปด คือ เริ่มตั้งแต่ Bb ที่ต่ำถัดจาก C กลาง โอโบเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้เล่นท่วงทำนองและเดี่ยวเช่นเดียวกับ ฟลู้ต เสียงของปี่ชนิดนี้ดังคล้ายเสียงที่ออกจากจมูก (Nasal tone) หรือคล้ายเสียงของปี่ที่พวกแขกเลี้ยงงูเป่า คือ มีลักษณะบีบ ๆ เศร้า โหยหวน และแหลมคม แต่ไม่ถึงกับแหลมบาดหูอย่างขลุ่ยปิคโคโล เมื่อเป็นเช่นนี้โอโบจึงเหมาะที่จะใช้พรรณนาถึงบรรยากาศของท้องทุ่ง เสียงไก่ขัน และเพลงที่เกี่ยวกับแขกหรือดินแดนทางตะวันออก หน้าที่สำคัญของโอโบ คือ เครื่องเทียบเสียงของวงดุริยางค์ (a Tuning fork for the Orchestra) ก่อนการบรรเลงเครื่องดนตรีต่าง ๆ จะต้องเทียบเสียงลา (A) จากโอโบ ในสกอร์เพลงแนวบรรเลงของโอโบอยู่ถัดลงมาจากแนวฟลู้ต โอโบกำเนิดขึ้นกลางศตวรรษที่ 17 กังแบรต์ (Cambert ค.ศ. 1628 – 1677) เพื่อนของลุลลี ได้นำโอโบมาใช้ครั้งแรกในการแสดงอุปรากรฝรั่งเศสเรื่อง Pomone เมื่อปี ค.ศ. 1671 แฮนเดล (Handel) ชอบโอโบมาก ได้แต่งคอนแชร์โตสำหรับโอโบไว้หลายบท โดยปกติใน วงดุริยางค์ใช้โอโบเพียง 2 เลา แต่นักแต่งเพลงหลายท่านในศตวรรษนี้ได้ใช้โอโบมากกว่า 2 เลา ปี ค.ศ. 1915 โฮลส์ท (Holst) ได้แต่ง Suite โดยใช้โอโบถึง 3 เลา ในเพลง The Planet ซึ่งเป็นผลงานเพลงชิ้นที่ 32 ของเขา
สตราวินสกี้ (Stravinsky ค.ศ. 1882 – 1971) ใช้โอโบถึง 4 เลา ในดนตรีบัลเลห์เรื่อง Petrouchka (แต่งที่นครปารีสเมื่อปี ค.ศ. 1911)

ขอบเขตของเสียงปี่โอโบ




Open note

1. การเจาะท่อลม เจาะทรงกรวย
2. เป็นเครื่อง C Concert Pitch
3. เป็นเครื่อง Non Transposing (เป่าโด ดัง โด)
ความยาวรวมทั้งสิ้น 25.5 นิ้ว เสียงคมและชัดเจนที่สุด ใช้เทียบเสียงให้กับวงดุริยางค์ด้วยโน้ตตัว ลา



พินโฮล (Pin Hole) คือรูเล็ก ๆ ตรงกลางนิ้ว มีโน้ต 3 ตัว ที่ต้องเปิดนิ้ว พินโฮล คือ



เป็นเครื่องที่ขึ้นเสียงคู่ 8 โดยใช้ Octave Key ใช้กระเดื่อง Octave
เสียงต่ำดังห้าว ๆ เครือ ๆ เสียงสูง ดังบีบ ๆ และแหลมคม



















ภาพที่ 2.11 โอโบและส่วนประกอบของโอโบ
ที่มา (Microsoft Music Instruments, 1994)

ตารางที่ 2.4 แสดงขอบเขตเสียงของโอโบ

ขอบเขตเสียงจากเครื่อง ขอบเขตเสียงเทียบจากเปียโน ขอบเขตเสียงที่บรรเลงได้ดี





ที่มา (Hendrickson, 1995)




2. บาสซูน (Bassoon)
ดนตรีสาร (2534 ) ได้กล่าวถึงชื่อของบาสซูนในเรื่องเครื่องลมไม้ ดังนี้
ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Bassoon
ภาษาอิตาลี เรียกว่า Fagotto หรือ Bassone
ภาษาฝรั่งเศส เรียกว่า Basson
ภาษาเยอรมัน เรียกว่า Fagott
ชลาสินธ์ (2531) ได้กล่าวไว้ในถนนดนตรี 2 (5) เรื่อง มารู้จักเครื่องดนตรีกันเถอะ พอสรุปได้ว่า บาสซูน มีชื่อเรียกในภาษาฝรั่งเศษว่า Basson ภาษาเยอรมัน เรียกว่า Fagotti ภาษา อิตาเลียน เรียกว่า Fagotto และภาษาสเปน เรียกว่า Fagote เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเครื่องลมไม้ ประเภทที่ใช้ลิ้นคู่ ถูกดัดแปลงมาจากปี่บอมบาร์ด (Bombard) โดยพระนิกายโรมันคาทอลิคชื่อ พระอัลฟรานิโอแห่งแฟร์รารา ได้ดัดแปลงปี่โบราณชนิดนี้เป็นปี่บาสซูนขึ้นปี พ.ศ. 2082 (ค.ศ. 1539)
ท่อลมของบาสซูนมีความยาวถึง 109 นิ้ว แต่เพื่อไม่ให้ยาวเกินไปจึงได้ประดิษฐ์ให้ท่อลมหรือลำตัวงอทับกันจึงมีความยาวถึง 48 นิ้ว ลำตัวของบาสซูนมี 4 ท่อน คือ bell joint, Long joint (บางครั้งเรียกว่า Bass Joint) butt และ Wing joint (บางครั้งเรียกว่า Tenor joint) ทั้ง 4 ท่อนทำด้วยไม้เมเปิล (Maple) ระบบการใช้นิ้วของบาสซูน ในปัจจุบันมีอยู่ 2 ระบบ คือ ระบบเฮ็คเคล (Heckel System) ซึ่งเป็นระบบของเยอรมัน และระบบบัฟเฟท (Buffet System) ซึ่งเป็นระบบของ ฝรั่งเศส ความแตกต่างระหว่างสองระบบนี้สังเกตได้ง่าย ถ้าบาสซูนเลาใดปลายของ bell joint อันเป็นส่วนอยู่บนสุด ขณะถือเป่ามีวงแหวนวงงาช้างสวมอยู่ บาสซูนเลานั้นก็จะเป็นระบบแบบเฮ็คเคล
บาสซูนเป็นปี่ที่มีเสียงต่ำ ค่อนข้างแหบโหย กร้าว และไม่สู้จะแจ่มใสนัก นอกจากจะเล่นเป็นเสียงตลกยังเหมาะที่จะแสดงบรรยากาศอันน่ากลัว มืดมน หรือเคร่งขรึม หม่นหมองได้เป็นอย่างดี
ดนตรีสีแสด (2538) ได้กล่าวไว้ว่าบาสซูนได้รับฉายาว่าเป็นตัวตลกของวงดุริยางค์ “The Clow of the Orcrestra” ทั้งนี้เพราะเวลาบรรเลงเสียงสั้น ๆ ห้วน ๆ (Staccato) อย่างเร็ว จะมีเสียงดัง ปูด..ปู๊ด.. ราวกับท่าทางของตัวตลก ที่กระโดดเต้นหยอง ๆ ในโรงละครสัตว์
ในวงดุริยางค์ บาสซูน ทำหน้าที่เป็น เบส ให้กับเครื่องดนตรีตระกูล โอโบ (Oboe) และปี่คอร์ (Cor Anglais)
ลำตัวของบาสซูนทำด้วยไม้ เมเพิล มี 5 ท่อน คือ
1. เป็นหลอดเสียบลิ้นงอโค้ง (Crock หรือ Bocal) ทำด้วยโลหะ
2. ข้อต่อเทนเนอร์ (Tenor Joint หรือ Wing Joint)
3. ข้อต่อส่วนล่าง (Butt Joint)
4. ข้อต่อเบส (Bass Joint หรือ Long Joint)
5. ลำโพง (Bell)
ลิ้นแฝด (Double Reed) ของบาสซูน โตกว่าของ อิงลิช ฮอร์น (English Horn) จะติดกับท่อลมงอโค้งเรียกว่า ครูค (Crook) ปลายของ ครูค ด้านหนึ่งติดกับปลายบนของ ข้อต่อเทนเนอร์บาสซูนมีน้ำหนักมาก จึงต้องมีสายคล้องคอเพื่อช่วยพยุงน้ำหนัก เรียกว่า Sling เพื่อให้มือทั้งสองของผู้เล่นขยับไปกดแป้นนิ้วต่าง ๆ ได้สะดวก แฮนเดล (Handel ค.ศ. 1685 – 1759) ใช้บาสซูน 2 เครื่อง เล่นเสียงต่ำแสดงการปรากฏตัวของปีศาจ แซมมวล ใน ออร์ระติริโด เรื่อง “Saul”
สตราวินสกี (Stravinsky ค.ศ. 1882 –1971) ให้ บาสซูน เดี่ยวเสียงสูง ตอนเริ่มต้นของ “The Rite of spring” เพื่อให้เกิดความน่ากลัว ถ้าบาสซูนเล่นเสียงกลาง ๆ แต่เพียงเบา ๆ จะได้ความไพเราะนุ่มนวลมาก เช่น ในท่อนช้าของบาสซูน คอรแชร์โต หมายเลข 1 ของโมสาร์ท (Mozart ค.ศ. 1756 – 1791) ในด้านการแสดงความตลกขบขันทำได้ดีมาก เบโธเฟน (Beethoven ค.ศ. 1770 – 1827) ได้ใช้บาสซูนเล่นโน้ตเพียง 2 – 3 ตัว ซ้ำแล้วซ้ำอีกในท่อนที่ 3 ของ “Pastoral sympony” เพื่อล้อนักเป่าบาสซูน ขี้เมาคนหนึ่ง เสียงต่ำ หนักแน่นดี เหมาะสำหรับเป็นเสียงรากฐานสำหรับพยุงเสียงอื่น ๆ ของวงเครื่องลมไม้ด้วยกัน เสียงสูงเป็นเสียงระห้อย ชวนให้รู้สึกเศร้า ๆ ประดุจเสียงร้องครวญครางของผู้ที่อยู่ในความทุกข์

3. คอนทรา บาสซูน (Contra Bassoon)
ปี่คอนทรา บาสซูน หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “Double Bassoon” เป็นเครื่องดนตรีที่มีโอกาสใช้น้อยมากและใช้เฉพาะในวงดุริยางค์เท่านั้น ขนาดของปี่ใหญ่กว่า บาสซูน และใช้ลมในการเป่ามากกว่า ท่อลมทำด้วยไม้ เมเบิล มีความยาวประมาณ 18 ฟุต 4 นิ้ว หรือ 220 นิ้ว ต้องงอทบกันเป็น 4 ท่อน แต่ละท่อนเชื่อมต่อกันด้วย Butt และข้อต่อรูปตัว U ที่ปลายท่อนสุดท้ายจะต่อกับลำโพงโลหะที่คว่ำลงในแนวดิ่ง แต่คอนทรา บาสซูน อีกชนิดหนึ่งลำโพงหงายขึ้นในแนวดิ่ง
คอนทรา บาสซูน แบบฝรั่งเศสที่ลำตัวทำด้วยโลหะทั้งหมด เรียกว่า ดับเบิล เบส ซาร์รัส โซโฟน (Double Bass – Sarrusophone) ปี่นี้มีชื่อตามชาร์รัส หัวหน้าแตรวงชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1856 คอนทรา บาสซูน ประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกโดยชาวอังกฤษสองคน ชื่อ สโตน และ มอร์ตัน (Stone & Morton) ต่อมา เฮคเคล (Heckel) ได้ปรับปรุงโดยติดกลไกลของ แป้นนิ้ว ต่าง ๆ ให้สมบูรณ์และนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้ เสียงของคอนทรา บาสซูน ต่ำมากคือต่ำลงมาจากบาสซูน อีก ช่วง คู่ 8 แนวบรรเลงใช้กุญแจฟาเบส เสียงจริงที่ดังออกมาจะต่ำกว่าโน้ตที่บันทึก 1 ช่วง คู่ 8 หน้าที่ประสานเสียงเป็น เบส ให้กับกลุ่มเครื่องลมไม้และเล่นโน้ตต่ำสุดของคอร์ด เมื่อเครื่องทั้งหมดในวงดุริยางค์เล่นพร้อมกัน (Tutti) แต่ถ้าบรรเลงเสียงต่ำอย่างช้า ๆ ในวงดุริยางค์ ขณะที่เครื่องดนตรีอื่น ๆ เล่นอย่างเบา ๆ จะสร้างภาพพจน์คล้ายมีงูใหญ่เลื้อยจากที่มืด
บทเพลงของปี่ คอนทรา บาสซูน จะต้องเป็นชนิดที่ใช้เสียงยาว ๆ กว้าง ๆ เพราะไม่สะดวกในการปฏิบัติทำนองเพลงที่ใช้เสียงกระชั้นและถี่เร็ว ผู้ปฏิบัติเครื่องจะต้องมีกำลังลมที่แข็งแรง และกำลังลมที่เข้มแข็ง เมื่อหาผู้ปฏิบัติมิได้ ก็ ใช้เครื่องดนตรีอื่นแทน เช่น แตรเบส ทูบา หรือปี่ ซาร์รัสโซโฟน (Sarrusophone) มีเหล็กเป็นขาตั้ง เพื่อช่วยพยุงน้ำหนัก เวลาบรรเลงตั้งกับพื้นได้ มีสายคล้องคอช่วยพยุง (ดนตรีสีแสด, 2539)
ลักษณะและรูปร่างของปี่บาสซูน ดังนี้













ภาพที่ 2.12 แสดงลักษณะและประกอบของบาสซูน
ที่มา (Microsoft Musical Instruments, 1994 )



ขอบเขตเสียงของบาสซูน
ตารางที่ 2.5 แสดงขอบเขตเสียงของบาสซูน

ขอบเขตเสียงจากเครื่อง ขอบเขตเสียงเทียบจากเปียโน ขอบเขตเสียงที่บรรเลงได้ดี





ที่มา (Hendrickson, 1995)

การดูแลรักษาเครื่องลมไม้
เครื่องดนตรีเป็นสื่อกลางระหว่างผู้เล่นกับผู้ฟัง คุณภาพของเสียงที่เกิดจากการปฏิบัติ ย่อมได้รับการตอบสนองจากผู้ฟัง การรักษาเครื่องดนตรีให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะปฏิบัติการได้ดีเป็นคุณสมบัติของนักดนตรีทุกคน เครื่องลมไม้สามารถเสื่อมสภาพได้เองตามธรรมชาติเมื่อหมดอายุการใช้งาน หรือแม้แต่อุณหภูมิที่เย็นเกินไปหรือร้อนเกินไปก็อาจทำให้เครื่องดนตรีมีความผิดปกติ เสียงอาจเพี้ยนได้ จึงควรดูแลรักษาและทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
สุกรี เจริญสุข (2540) กล่าวถึงการดูแลรักษาเครื่องว่า การดูแลรักษาและการทำความสะอาดเครื่องดนตรี ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเป็นอันดับแรก การดูแลรักษาเครื่องดนตรีอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เครื่องดนตรีมีสภาพการใช้งานได้นาน และยังช่วยถนอมสุขภาพของผู้ปฏิบัติให้สามารถปฏิบัติเครื่องมือนั้น ๆ ต่อไปได้นานยิ่งขึ้นเพราะเครื่องเป่าเป็นเครื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ลมหายใจ จึงเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินลมหายใจโดยตรง
การดูแลรักษาเครื่องลมไม้ มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
1. การทำความสะอาดเครื่องลมไม้
ในการทำความสะอาดเครื่องลมไม้ มีข้อควรระวังในการปฏิบัติดังนี้
1.1 ส่วนลิ้น ปากเป่า ท่อต่อปากเป่า ต้องรักษาให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำสบู่อุ่น ๆ
เช็ดทุกส่วนให้แห้งและทาด้วยวาสลินบาง ๆ ที่บริเวณนอตสกรูของที่รัดลิ้น เพื่อสุขภาพของนักดนตรีเอง
1.2 ส่วนที่เป็นกลไกของกระเดื่องต่าง ๆ และนวมต้องรักษาให้แห้งอยู่เสมอ หยอดน้ำมันตามจุดกระเดื่องนิ้วที่เป็นโลหะที่ต้องเสียดสีกันด้วยน้ำมันที่ใช้สำหรับหยอดโดยเฉพาะ
1.3 เมื่อต้องทำความสะอาดส่วนที่เป็นโลหะเงินก็ให้ใช้ยาที่ขัดโลหะเงินเท่านั้น
1.4 เช็ดภายในท่อทุกท่อให้แห้ง ทำความสะอาดภายในให้ทั่วถึงในทุก ๆ ท่อ เช็ดรอยนิ้วมือ ส่วนที่เปียกชื้นจากเหงื่อ ตามกระเดื่องนิ้วและในส่วนทั่ว ๆ ไป ออกให้หมด
1.5 ถ้าเกิดการติดขัดที่ส่วนใด ๆ จนรู้สึกกว่าต้องใช้แรงหมุน ถอด หรือการกระทำโดยวิธีอื่นมาก ๆ ควรส่งให้ช่างซ่อมโดยตรงดำเนินการ
2. การเก็บและการดูแลรักษาเครื่องลมไม้
ในการเก็บและการดูแลรักษาเครื่องลมไม้ มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
2.1 ห้องเก็บเครื่องลมไม้ควรมีอุณหภูมิประมาณ 72 องศา ฟาเรนไฮต์ และมีความชื้นประมาณ 50 %
2.2 ในขณะปฏิบัติเครื่องอย่าให้เครื่องชนกับสแตนด์ตั้งโน้ตและอย่าวางเครื่องไว้บนเก้าอี้หรือวางบนพื้น
2.3 การเก็บเครื่องมือในกล่อง ช่องเก็บเครื่องมือควรพอดีกับเครื่องมือไม่คับหรือหลวมเกินไป เพื่อป้องกันการกระทบระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องมือ
2.4 ปากเป่าและลิ้น ควรเก็บอยู่ในช่องเก็บโดยเฉพาะอย่างเรียบร้อย ซึ่งแน่ใจว่าไม่หลุดออกมากระทบกับเครื่องดนตรี อันจะทำให้เกิดความเสียหายได้
2.5 อย่าใส่สิ่งของต่าง ๆ ไว้จนแน่นกล่องใส่เครื่องมือ เพราะว่าเวลาปิดกล่อง จะทำให้ฝากล่องกดอัดกับเครื่องมือทำให้เกิดการเสียหายได้
2.6 สายรัด ได้รัดเครื่องมืออยู่ในสภาพเรียบร้อยเมื่อเก็บเข้ากล่อง เพื่อป้องกันฝากล่องเปิดเมื่อจะหยิบยก และเครื่องมืออาจหลุดออกมาได้
2.7 เมื่อต้องการจะเคลื่อนย้ายเครื่องมือ จากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง หรือจากพื้นที่ใด ๆ ไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง จะต้องใส่กล่องให้เรียบร้อยก่อนทุกครั้ง ซึ่งจะเป็นการป้องกันความเสียหาย ที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องดนตรีได้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เครื่องดนตรีทุกชนิดโดยเฉพาะเครื่องลมไม้เป็นเครื่องดนตรีที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้เล่นกับผู้ฟัง คุณภาพของเสียงที่เกิดจากการปฏิบัติ ย่อมได้รับการตอบสนองจากผู้ฟัง การดูแลรักษาเครื่องดนตรีให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะปฏิบัติการได้ดีเป็นคุณสมบัติของนักดนตรีทุกคน ในการดูแลรักษาและการทำความสะอาดเครื่องดนตรีนั้น ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเป็นอันดับแรก การดูแลรักษาเครื่องดนตรีอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เครื่องดนตรีมีสภาพการใช้งานได้นาน และยังช่วยถนอมสุขภาพของผู้ปฏิบัติให้สามารถปฏิบัติเครื่องมือนั้น ๆ ต่อไปได้นานยิ่งขึ้น เพราะเครื่องลมไม้เป็นเครื่องดนตรีที่เกี่ยวข้องกับการใช้ลมหายใจ จึงเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินลมหายใจของผู้ปฏิบัติโดยตรง

สรุปประจำบท
กลุ่มเครื่องลมไม้ หมายถึง เครื่องดนตรีที่ใช้ลมเป่าเข้าไปในท่อที่มีขนาด ความกว้าง ความยาวและความแรงของลมที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดเสียงสูง – ต่ำตามความต้องการ ในการเปลี่ยนแปลงระดับเสียงต่าง ๆ อาศัยการเปิด – ปิด รูที่อยู่บนท่อนั้น ซึ่งเท่ากับเป็นการทำให้เกิดความสั้น – ยาว ของลมที่วิ่งผ่านท่อ (ลำตัวเครื่องดนตรี) มีผลทำให้เกิดเสียงสูง – ต่ำตามความต้องการ สาเหตุที่ เรียกว่า เครื่องลมไม้ เพราะในสมัยแรก ๆ นั้นใช้วัสดุที่เป็นไม้ทำเป็นลำตัวของเครื่องดนตรี แม้ในปัจจุบันเครื่องดนตรีบางชนิดได้เปลี่ยนมาทำด้วยโลหะหรือวัสดุชนิดอื่นแล้วก็ยังคงจัดเป็นประเภทเครื่องลมไม้เช่นเดิม สำหรับเครื่องลมไม้ที่ใช้ในวงโยธวาทิต มี 3 ชนิด เช่นเครื่องดนตรีประเภทขลุ่ย ได้แก่ ฟลู้ต และปิคโคโล เครื่องดนตรีประเภทลิ้นเดี่ยว ได้แก่ คลาริเนต และแซกโซโฟน เครื่องดนตรีประเภทลิ้นคู่ ได้แก่ โอโบ และบาสซูน เป็นต้น

คำถามท้ายบท
1. เครื่องลมไม้มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
2. ฟลู้ต เกิดเสียงได้อย่างไร
3. ปิคโคโล คืออะไร มีข้อแตกต่างจากฟลู้ตอย่างไร
4. บาสซูน มีลักษณะเป็นอย่างไร
5. คอนทรา บาสซูน มีความสำคัญอย่างไรในวงโยธวาทิต
6. โอโบ มีลักษณะอย่างไรมีความสำคัญมากน้อยเพียงใดในวงโยธวาทิต
7. คลาริเนตที่ใช้ประจำในวงโยธวาทิตมีกี่ชนิด อะไรบ้าง
8. ระบบนิ้วของปี่คลาริเนตเป็นอย่างไร
9. แซกโซโฟนเกิดขึ้นเมื่อใดและมีความสำคัญอย่างไร
10. แซกโซโฟนมีกี่ประเภท อะไรบ้าง

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล

การเรียนการสอนในปัจจุบันนักเรียนต้องตัวเองให้มากที่สุด